สเปน (อังกฤษ: Spain; สเปน:
España) หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรสเปน (อังกฤษ: Kingdom
of Spain; สเปน: Reino de España)เป็นประเทศทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรปตั้งอยู่บนคาบสมุทรไอบีเรียร่วมกับโปรตุเกสและอันดอร์ราสเปนมีพรมแดนติดกับฝรั่งเศสทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตามแนวเทือกเขาพิเรนีสชนชาติต่างๆ ได้เข้ามามีอิทธิพลในดินแดนที่เป็นประเทศสเปนตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น เคลต์
ไอบีเรียน โรมัน วิซิกอทและมัวร์ในยุคกลางพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การปกครองของชาวมุสลิมเป็นเวลาอย่างน้อยห้าร้อยปีชาวมัวร์ยังคงหลงเหลืออยู่ในคาบสมุทรไอบีเรีย จนกระทั่งในปี ค.ศ.1492(พ.ศ.2035)ซึ่งเป็นปีที่ราชอาณาจักรคาสตีลและอารากอนสามารถขับไล่ชาวมัวร์ออกไปได้สำเร็จหลังจากเกิดกระบวนการพิชิตดินแดนคืนที่ยาวนานถึง
770 ปี และในปีเดียวกัน คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสยังได้ค้นพบโลกใหม่นำไปสู่การกำเนิดจักรวรรดิสเปนที่แผ่ขยายไปทั่วโลก สเปนกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในยุโรปขณะนั้นแต่สงครามที่มีอย่างต่อเนื่องและปัญหาอื่น ๆ ก็ทำให้ความยิ่งใหญ่ของประเทศลดลงไป ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่20 สเปนมีการปกครองระบอบเผด็จการ แต่ปัจจุบันปกครองโดยพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่มีการผ่านรัฐธรรมนูญของสเปนเมื่อปี
ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521)
ประวัติศาสตร์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์และก่อนโรมัน
หลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์แรกสุดของมนุษย์วานรโฮมินิดส์ที่อาศัยอยู่ในยุโรปถูกค้นพบที่ถ้ำอาตาปวยร์กา(Atapuerca) ในสเปนซึ่งกลายเป็นกุญแจสำคัญของการศึกษาบรรพชีวินวิทยาของโลก เนื่องจากได้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ที่มีอายุประมาณ 1
ล้านปีที่นั่นด้วย
มนุษย์สมัยใหม่พวกโครมันยองได้เริ่มเข้ามาในคาบสมุทรไอบีเรียจากทางเหนือของเทือกเขาพิเรนีสเมื่อ
35,000 ปีมาแล้ว สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์คือภาพวาดที่มีชื่อเสียงในถ้ำอัลตามีราทางภาคเหนือ เขียนขึ้นเมื่อ 15,000ปีก่อนคริสต์ศักราชและได้รับการยกย่องร่วมกับภาพเขียนที่ปรากฏในถ้ำลาสโกประเทศฝรั่งเศส ในฐานะตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของจิตรกรรมถ้ำวัฒนธรรมเมืองแรกเริ่มสุดที่ถูกอ้างถึงในเอกสารได้แก่ เมืองกึ่งโบราณทางภาคใต้ที่มีชื่อว่า (Tartessos) มีอายุประมาณก่อน1,100ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ ชาวฟีนิเชีย กรีก และคาร์เทจที่ท่องไปตามท้องทะเลได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งตามชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนหลายครั้งและได้ตั้งอาณานิคมการค้าขึ้นที่นั่นอยู่เป็นเวลาหลายศตวรรษ
ประมาณ 1,100ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ พ่อค้าชาวฟีนิเชียได้มาตั้งสถานีการค้าที่เมืองกาดีร์ (ปัจจุบันคือเมืองกาดิซ)ใกล้กับตาร์เตสโซส ในศตวรรษที่ 9
ก่อนคริสต์ศักราช นิคมชาวกรีกแห่งแรก ๆ เช่น เอมโพเรียน (เอมปูเรียสในปัจจุบัน)เป็นต้น เกิดขึ้นตามชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออก
ส่วนชายฝั่งทางใต้เป็นนิคมฟีนิเชีย เมื่อถึง 600 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ ชาวคาร์เทจได้มาถึงไอบีเรียขณะที่เกิดการต่อสู้กับชาวกรีก(และชาวโรมันในเวลาต่อมา) เพื่อควบคุมบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตก
อาณานิคมคาร์เทจที่สำคัญที่สุดคือ คาร์ทาโกโนวา (Carthago Nova) ซึ่งเป็นชื่อภาษาละตินของเมืองการ์ตาเฮนาในปัจจุบัน
ชาวคาร์เทจได้ครอบครองชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนเป็นเวลาสั้น ๆ ในช่วงสงครามพิวนิก
จนกระทั่งถูกชาวโรมันพิชิตและขับไล่ออกไปในที่สุด
ชนพื้นเมืองที่ชาวโรมันพบขณะที่ขยายอำนาจเข้าไปในบริเวณสเปนปัจจุบันนั้น
คือพวกไอบีเรียน (Iberians)อาศัยอยู่ตั้งแต่ส่วนตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรตลอดจนถึงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและพวกเคลต์(Celts)ที่ส่วนใหญ่ตั้งหลักแหล่งอยู่ทางเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทร
ส่วนทางตอนในซึ่งเป็นที่ที่ชนทั้งสองกลุ่มได้เข้ามาติดต่อกัน
ได้เกิดกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมแบบผสมและเป็นลักษณะเฉพาะตัว คือ เคลติเบเรียน (Celtiberian)
คริสต์ศตวรรษที่ 20
ในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20
ประเทศสเปนก็ยังไม่อยู่ในความสงบเท่าใดนัก
ชาวสเปนบางคนพยายามจะจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
(ระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ) และผลักดันให้กษัตริย์ออกไปจากประเทศ
อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1936 (พ.ศ. 2479) ความขัดแย้งระหว่างชาวสเปนกลุ่มที่นิยมประชาธิปไตยกับชาวสเปนที่นิยมเผด็จการได้ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองสเปนขึ้นจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1939 (พ.ศ. 2482) ฝ่ายนิยมประชาธิปไตยพ่ายแพ้
และผู้นำเผด็จการที่มีชื่อว่า ฟรันซิสโก ฟรังโก ก็ได้เข้ามามีอำนาจในรัฐบาล

ตั้งแต่รัฐธรรมนูญสเปนฉบับปัจจุบันผ่านความเห็นชอบในปี
ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) ประเทศสเปนมีนายกรัฐมนตรี
(Presidentes del Gobierno) มาแล้ว 5 คน
ได้แก่
นายอาดอลโฟ ซัวเรซ กอนซาเลซ (Adolfo
Suárez González)ค.ศ.
1977-1981 (พ.ศ. 2520-2524)
นายเลโอปอลโด กัลโบ โซเตโล อี บุสเตโล (Leopoldo
Calvo Soteloy Bustelo)ค.ศ. 1981-1982 (พ.ศ.
2524-2525)
นายเฟลีเป กอนซาเลซ มาร์เกซ (Felipe
González Márquez) ค.ศ.
1982-1996 (พ.ศ. 2525-2539)
นายโคเซ มารีอา อัซนาร์ โลเปซ (José
María Aznar López) ค.ศ.
1996-2004 (พ.ศ. 2539-2547)
นายโคเซ ลุยส์ โรดรีเกซ ซาปาเตโร (José
Luis Rodríguez Zapatero) ค.ศ.
2004-2011 (พ.ศ. 2547-2554)
นายมาเรียโน ราโคย เบรย์ (Mariano Rajoy
Brey) ค.ศ. 2011-ปัจจุบัน
ทุกวันนี้ สเปนเป็นประเทศประชาธิปไตยสมัยใหม่
ทำธุรกิจติดต่อค้าขายกับหลายประเทศในโลก รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป
และใช้สกุลเงินยูโรในฐานะสกุลเงินประจำชาติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม
พ.ศ. 2541
ความสัมพันธ์ของไทย – สเปน
ในอดีต
ความสัมพันธ์ทางการทูตและการเมือง
กุลกุมุท สิงหรา ณ อยุธยา
อธิบดีกรมยุโรป
มีหลักฐานจากการค้นคว้าของฝ่ายสเปนว่าเมื่อปีค.ศ. 1540 (พ.ศ. 2083)นาย
Pero Diazเป็นชาวสเปนคนแรกที่เดินทางมาไทย โดยขึ้นฝั่งที่จังหวัดปัตตานี เมืองขึ้นของอยุธยา ในสมัยพระไชยราชาธิราชนับเป็นชาวยุโรปชาติที่ 2 ที่เดินทางมาไทยในสมัยนั้น
ต่อจากชาวโปรตุเกสซึ่งเดินทางมาไทยในสมัยพระรามาธิบดีที่ 2 เมื่อราวปี พ.ศ. 2061 ต่อมาในสมัยพระมหาธรรมราชา ในปี พ.ศ. 2129 นาย Santiago de Vera ข้าหลวงสเปนที่ปกครองฟิลิปปินส์ได้ส่งคณะผู้แทนเดินทางมาเปิดความสัมพันธ์กับอยุธยา ซึ่งกษัตริย์ไทยให้ความสนใจ แต่ก็มิได้ดำเนินการอย่างไรต่อไป
ในสมัยพระนารายณ์มหาราช ไทยกับสเปนได้ติดต่อค้าขายกันโดยผ่านทางฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นอาณานิคมของสเปน โดยไทยส่งออกไม้และตะกั่วที่จำเป็นสำหรับการต่อเรือให้สเปนและซื้อสินค้าประเภทอาวุธจากสเปนแต่ความสัมพันธ์ทางการค้าและอื่นๆไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไรนัก
เนื่องจากสเปนมีคู่แข่งคือโปรตุเกส ซึ่งวางรากฐานทางการค้าไว้อย่างมั่นคงแล้ว ในขณะที่การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ของสเปนก็ไม่ประสบความสำเร็จ
เพราะกษัตริย์ไทยและชาวไทยไม่ได้ให้ความสนใจแต่อย่างใด หลังจากรัชสมัยพระนารายณ์ ช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยากษัตริย์ไทยรัชกาลต่อๆมา ไม่โปรดปรานชาวตะวันตก เพราะเกรงว่าจะเข้ามายึดครองไทยและครอบงำทางศาสนา จึงขับไล่ทั้งฝรั่งเศส โปรตุเกส
ฮอลันดา และสเปนออกไปจากประเทศเป็นจำนวนมาก
ชาวยุโรปเริ่มเข้ามาเมืองไทยอีกครั้งตั้งแต่รัชกาลที่
2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชกาลที่ 4 ถือเป็นยุคสำคัญของการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างระหว่างไทยกับประเทศตะวันตกซึ่ง
กำลังล่าเมืองขึ้นในเอเชียอย่างขะมักเขม้น
สเปนและไทยได้ทำสนธิสัญญาทางไมตรี การพาณิชย์
และการเดินเรือ ( Treaty of Friendship, Commerce and Navigation ) ซึ่งถือเป็นการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่
23 กุมภาพันธ์ 2413 ( ค.ศ.
1870 ) ในรัชกาลที่ 5
ช้ากว่าที่ไทยทำกับประเทศตะวันตกอื่นๆกว่า 10 ปี
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2426ไทยได้ตั้งอัครราชทูตประจำยุโรปให้ดำรงตำแหน่งอัครราชทูตไทยประจำกรุงมาดริด ด้วย
และในปี พ.ศ. 2504
ได้ยกระดับเป็นสถานเอกอัครราชทูตโดยได้ตั้งเอกอัครราชทูตไทยคนแรกไปประจำ
กรุงมาดริดเมื่อ พ.ศ. 2506
นอกจากสถานเอกอัครราชทูตแล้ว ที่กรุงมาดริด
ไทยยังมีสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารและทหารเรือสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และสำนักงานการบินไทย นอกจากนี้มีสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไทยอีก 2 แห่งที่นครบาร์เซโลน่าและที่หมู่เกาะคานารี
ด้านการเมือง
ไทยและสเปนมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นไม่เคยมีปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างกันทั้งนี้เป็นเพราะทั้งสองประเทศมีอุดมการณ์และนโยบายที่สำคัญหลายประการสอดคล้องกัน เช่น การมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การเสริมสร้างความร่วมมือ ระหว่างภูมิภาคของทั้งสองประเทศ ซึ่งสเปนไม่มีท่าทีขัดขวางต่อการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่าง ASEAN-EUโดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับพม่า นอกจากนี้ สเปนยังเป็นประเทศที่ให้การสนับสนุนท่าทีของไทยมาโดยตลอดทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี เช่น การสนับสนุน ฯพณฯ นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในการคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ WTO และการสนับสนุนคำขอของไทยให้คณะกรรมาธิการยุโรปพิจารณาเปิดโควต้าภาษี(Global Quota)นอกกรอบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรโครงการใหม่ (GSP) สำหรับสินค้ากุ้งและผลิตภัณฑ์กุ้งให้แก่ไทย นอกจากนั้น การแลกเปลี่ยนการเยือน ระหว่างบุคคลสำคัญของประเทศทั้งสองที่มีมาอย่างสม่ำเสมอ ทั้งในระดับพระราชวงศ์ บุคคลสำคัญ และเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาล ซึ่งช่วยให้ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นด้วย
ด้านเศรษฐกิจ
โดยทั่วไปการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสเปนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
อย่างไรก็ตามปริมาณการค้าและการลงทุนของทั้งสองประเทศในปัจจุบันยังมีไม่มากนัก
เนื่องมาจากผลกระทบจากภาวะทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงก่อนหน้านี้
แต่แนวโน้มการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของทั้งสองประเทศจะเป็นแรงจูงใจให้ นักธุรกิจของทั้งสองประเทศหันมาค้าขายและลงทุนระหว่างกันมากขึ้น
แหล่งข้อมูล
สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา .ความสัมพันธ์ของไทย – สเปน ในอดีต. เข้าถึงได้จาก http://www.ayutthayastudies.aru.ac.th/content/view/698/32/
สืบค้นวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น