วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

 
พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพิพิธภัณฑ์ในความดูแลของสถาบันพระปกเกล้า ตั้งที่อาคารกรมโยธาธิการเดิม บริเวณสี่แยกผ่านฟ้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อาคารหลังนี้เป็นอาคารสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 6-7 ซึ่งสถาบันพระปกเกล้า ได้บูรณะเพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี จัดแสดงภาพถ่าย เอกสาร และพระราชประวัติของพระองค์
ประวัติ
        อาคารพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หั
เริ่มก่อสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2449 ในปลายรัชกาลที่ 5 ใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 6 ปี และเปิดให้เช่าเป็นที่ตั้ง  "ห้างยอนแซมสัน" ดำเนินธุรกิจขายผ้าฝรั่งและตัดชุดสูทสากลที่มีชื่อเสียงในสมัยรัชกาลที่ 6 ต่อมาเมื่อห้างยอนแซมสันเลิกกิจการ อาคารหลังนี้จึงเปลี่ยนเป็น "ห้างสุธาดิลก" ขายเครื่องก่อสร้างและเครื่องสุขภัณฑ์ต่างๆ จนกระทั่ง พ.ศ. 2476 กรมโยธาเทศบาลจึงเช่าอาคารใช้เป็นที่ทำการของกรม จนกระทั่งกรมนี้เปลี่ยนชื่อเป็นกรมโยธาธิการดังในปัจจุบัน
รูปแบบสถาปัตยกรรมของอาคารหลังนี้ออกแบบโดยนายชาร์ล เบเกอแลง สถาปนิกชาวฝรั่งเศส-สวิส เป็นอาคาร 3 ชั้น อิทธิพลสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบนีโอคลาสสิค มีหอคอยยอดโดม ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นแบบกรีก-โรมัน ในปี พ.ศ. 2538 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนอาคารเป็นโบราณสถานแห่งชาติ อาคารกรมโยธาธิการหลังนี้ ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยา
พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เดิมเรียกว่า พิพิธภัณฑ์รัฐสภา อยู่ในการกำกับดูแลของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อยู่บริเวณใต้พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว หน้าอาคารรัฐสภา จัดเป็นพิพิธภัณฑ์พระมหากษัตริย์ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 พระราชทานสิ่งของส่วนพระองค์นำมาจัดแสดงและเปิดให้ประชาชนเข้าชมในปี พ.ศ. 2523 ต่อมาในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2544 สถาบันพระปกเกล้าได้รับโอนอำนาจการดำเนินงานพิพิธภัณฑ์ฯ และได้รับความอนุเคราะห์จากกรมโยธาธิการให้ใช้อาคารที่ตั้งในปัจจุบั
การจัดแสดง
พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แบ่งออกเป็น 3 ชั้น โดยแต่ละชั้นจะจัดแสดงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้
ห้องจัดแสดงชั้นที่ 1
ห้องจัดแสดงบริเวณชั้น 1 ของพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ได้แก่ พระราชประวัติส่วนพระองค์ ตั้งแต่ขณะทรงพระเยาว์ อภิเษกสมรส จนกระทั่งเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2527 รวมทั้ง การจัดแสดงเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจต่าง ๆ เช่น การเสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ การตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งเสด็จไปประทับ ณ ประเทศอังกฤษ และพระราชกรณียกิจขณะเสด็จกลับมาประทับ ณ ประเทศไทยเป็นการถาวร นอกจากนี้ ยังจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ด้ว
ห้องจัดแสดงชั้นที่ 2
ห้องจัดแสดงบริเวณชั้น 2 ของพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงเกี่ยวกับพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ขณะทรงพระเยาว์ เสด็จเข้าศึกษาที่ทวีปยุโรป ทรงพระผนวช ทรงอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ (พระยศขณะนั้น) เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงสละราชสมบัติ จนกระทั่ง เสด็จสวรรคตและการถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ ประเทศอังกฤษ จนกระทั่ง เชิญพระบรมอัฐิกลับมายังประเทศไทย นอกจากนี้ ยังจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพระจริยวัตรและพระราชนิยมส่วนพระองค์ในด้านต่าง ๆ เช่น ดนตรี กีฬา ภาพยนตร์
ห้องจัดแสดงชั้นที่ 3
ห้องจัดแสดงบริเวณชั้น 3 ของพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่น ฉลองพระองค์ พระมาลา ฉลองพระบาท รวมทั้ง พระราชกรณียกิจต่าง ๆ เช่น การจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์อักษรไทยที่สมบูรณ์ การพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตที่จบการศึกษาเป็นครั้งแรกของประเทศไทย พระราชดำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญในพิธีฉลองพระนคร 150 ปี การเปิดสะพานพระพุทธยอดฟ้าและปฐมบรมราชานุสรณ์ พระราชลัญจกรในพระองค์
ภายในพิพิธภัณฑ์ฯนี้ มีทั้งรูปภาพ ประราชประวัติ และข้าวของเครื่องใช้ทั้งเครื่องแต่งกาย อาวุธ เครื่องใช้ รวมถึงของสะสม และสิ่งของต่างๆที่พระองค์รัชกาลที่ 7 เคยใช้ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีให้ทรงนำมาจัดแสดง "พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" รับรองว่าจะได้เห็นถึงอดีตเหมือนได้นั่งเครื่องไทม์แมกชีนกลับไปอยู่ในเหตุการณ์อันทรงคุณค่าของยุคนั้นเลยทีเดียว

"หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน"

       วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2556 เวลา 12.30-16.30 พิพิธภัณฑ์ฯได้จัดงานเสวนาโครงการ "หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน" โดยวิทยากรคือคุณวิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์ หัวหน้าหอจดหมายเหตุศิริราชพยาบาล และคุณพิมพ์ฤทัย ชูแสงศรบรรณาธิการบริหารนิตยสารลิซ่า

เริ่มจาก น.ส.วิกัลย์ ที่สะท้อนบทบาทโดดเด่นของผู้หญิงในช่วงหลังเสียกรุงจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 (2310-2488) โดยเฉพาะรัชสมัย ร.6-ร.7 อย่างการได้รับการศึกษาและความรู้ด้านการพยาบาล ที่สื่อว่าบทบาทของผู้หญิงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่งานครัวเท่านั้น "ปัจจัยเรื่องของเศรษฐกิจในช่วงสมัยรัชกาลที่ 3ที่เริ่มมีการทำการค้ากับชาวตะวันตก เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ผู้หญิงไทยต้องเปลี่ยนหน้าที่มาทำการค้าขายมากกว่าการทำงานบ้านอย่างการปักผ้าทอผ้า เรื่อยมาจนถึงรัชกาล 4 ส่วนรัชกาลที่ 5 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของหญิงไทยครั้งสำคัญ เพราะไม่เพียงแค่ประเทศสยามจะรับวัฒนธรรมการแต่งกายจากตะวันตก แต่ผู้หญิงไทยเริ่มได้รับการศึกษามากขึ้น เช่น มีการตั้ง รร.กุลสตรีวังหลัง ซึ่ง รร.สำหรับผู้หญิงที่เด่นชัดที่สุดนั้น คือรร.หญิงแพทย์ผดุงครรภ์แลการพยาบาลไข้ ที่ก่อตั้งโดยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี)
จวบจนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 6ที่เริ่มตระหนักสิทธิของผู้หญิงมากขึ้น โดยกฎมณเฑียรบาลระบุว่า การแต่งงานระหว่างชายหญิงนั้นจะต้องมีการจดทะเบียนสมรสและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ถือเป็นคู่อภิเษกคู่แรกที่ทรงจดทะเบียนสมรสรวมถึงการตั้งสภาอุณาโลมแดงแห่งชาติสยาม สภากาชาดไทย ที่เน้นให้ผู้หญิงมีบทบาทในการทำงานนอกบ้านเพื่อช่วยเหลือสังคมมากขึ้นเช่นกัน"
ส่วนพิมพ์ฤทัย ชูแสงศรี ผู้คร่ำหวอดในแวดวงนิตยสารมากว่า 30 ปี ได้สะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงของผู้หญิงผ่านรูปแบบของแมกกาซีน เพื่อให้เห็นภาพหญิงไทยที่เป็นตัวของตัวเองเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันว่า จากประสบการณ์ด้านสื่อมวลชนมากว่า 30 ปีนั้นมองว่านิตยสารเป็นอะไรที่สื่อบทบาทของผู้หญิงไทยได้เห็นชัดเจนที่สุดโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์สำหรับผู้หญิงที่บูมสุดๆ ในช่วงรัชกาลที่ 6-7ที่รู้จักกันดีว่า "หญิงไทย"ซึ่งไม่เพียงรวบรวมไว้ซึ่งคอลัมน์สำหรับผู้หญิง แต่เนื้อหาภายในยังสะท้อนถึงความขัดแย้งถกเถียงถึงสถานภาพของผู้หญิงเช่นกัน จึงตอบโจทย์ผู้หญิงได้ดี ซึ่งทำให้ตระหนักว่าผู้หญิงเริ่มตื่นตัวและหันมาสนใจในสิทธิของตัวเอง มากกว่าที่จะสนใจเพียงเนื้อหาทั่วๆ ไปของนิตยสารที่ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของหนังสืออ่านเล่นในบ้านเราอย่าง "นารีรมย์" และ "กุลสตรี"
พี่แอ้กล่าวปิดท้ายว่า ภาพรวมบทบาทของผู้หญิงไทยต่อจากนี้คงเป็นเรื่องของการยอมรับและช่วยเหลือซึ่งกันระหว่างหญิงและชายเพื่อให้นำมาซึ่งการสร้างพื้นที่ดีๆร่วมกัน โดยใช้ความประนีประนอม เพราะปัจจุบันผู้ชายยอมรับและเคารพในความแตกต่างระหว่างหญิงและชายมากขึ้น จึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการที่ผู้หญิงจะต้องออกมาเรียกร้องสิทธิ พูดง่ายๆว่าทั้งหญิงและชายไม่ต่อสู้กันแล้วค่ะ เพราะโลกในยุคปัจจุบันสังคมเปิดกว้างสำหรับผู้หญิงในทุกๆเรื่อง.












           แหล่งข้อมูล
             พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว.
             เข้าถึงได้จาก https://www.facebook.com/kingprajadhipokmuseum
             สืบค้นวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น